top of page

ปืนคาบศิลาโบราณ

223.png

       ประเทศไทยรู้จักกับปืนคาบชุดในกลางสมัยกรุงศรีอยุธยา เมื่อรัชสมัยสมเด็จพระไชยราชาธิราชจากชาวโปรตุเกส "เฟอร์เนา เมนเดส ปินโต" เช่นเดียวกับญี่ปุ่นที่กล่าวไว้ข้างต้นปืนคาบชุดถูกใช้ครั้งแรกเมื่ออาณาจักรล้านนาคิดแข็งเมือง ทางอยุธยาจึงส่งกำลังไปปราบและได้ใช้ปืนคาบชุดเป็นอาวุธในครั้งนี้ด้วย ต่อมาเกิดสงครามเมืองเชียงกรานกับพระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้อยุธยาได้ใช้ปืนคาบชุดในการรบจนชนะ อยุธยาได้ใช้ปืนคาบชุดในการรบเรื่อยมาปืนคาบชุดที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในสมัยนี้คือพระแสงปืนต้นข้ามแม่น้ำสะโตงซึ่งสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงยิงปืนคาบชุดข้ามแม่น้ำสะโตงถูกแม่ทัพสุรกรรมาตาย และหลังจากนั้นปืนคาบชุดก็มีใช้กองทัพสยามจวบจนสมัยรัตนโกสินตร์ ในขณะที่ในบรรดาประเทศข้างเคียงหันไปใช้ปืนคาบศิลากันเป็นปืนประจำการสิ้นแล้ว อาทิ พม่า ปืนคาบศิลาจึงมีใช้ในหมู่ขุนนางที่มีฐานะ และชนชั้นเจ้า ด้วยเหตุว่า มีราคาแพง และต้องสั่งจากนำเข้าหินเหล็กไฟ ซึ่งใช้ทำปฏิกิริยากับดินปืนซึ่งมีราคาแพงอีกเช่นกัน และประการสุดท้ายคือ ฝึกยิงและทำความเข้าใจได้ยากกว่า การยิงปืนคาบชุด นั่นเอง

       ปืนคาบศิลา (อังกฤษ: musket) เป็นปืนที่ใช้ดินปืน(ดิน"แรงดันต่ำ")ตำกรอกทางปากกระบอกปืน จากนั้นรอง"หมอน"นุ่น หรือผ้า แล้วใส่หัวกระสุนทรงกลม ปิดด้วยหมอนอีกชั้น ปืนชนิดนี้เมื่อบรรจุกระสุนไว้ต้องถือตั้งตรงตลอด ไม่งั้นกระสุนอาจไหลออกจากปากลำกล้อง เวลาจะยิงต้องใช้ หิน"คาบศิลา"(หินไฟ-Flint) ตอกกระทบโลหะ หรือกระทบกันเอง (มักทำเป็น คอนกติดหินไฟ ผงกด้วยสปริง) เพื่อจุดดินขับในถ้วยที่โคนปืน ให้ไฟแล่บติดดินขับ วิ่งเข้าไปทางรูที่ท้ายลำกล้อง แล้วจึงเกิดการลุกไหม้ในดินปืน ระเบิดกระสุนออกไป ปืนชนิดนี้เป็นต้นแบบของปืนไรเฟิลในปัจจุบันด้วย

bottom of page